29 March 2013

พิธีชาในสายฝน ame no chaji (ตอนที่ ๒)

บันทึก "พิธีชาในสายฝน ame no chaji" (ตอนที่ ๒) 
                                                                           โดย Tee Jongrak (จงรักษ์ กิตติวรการ)


เวลาล่วงเลยกำหนดการเดิมมาพอควร เพราะรอท่าให้ฝนหยุด เพื่อออกไปชมสวนก่อนจะเข้าเรือนน้ำชา ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามแบบแผนที่กำหนดไว้ นอกจากฝนไม่หยุดแล้ว จากฝนเปาะแปะในตอนสายก็กลับเป็นฝนที่ลงเม็ดใหญ่ขึ้น  เจ้าบ้านจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เราเข้าสู่เรือนน้ำชาจากทางเข้าในตัวบ้านซึ่งเป็นทางเข้าเฉพาะของเจ้าบ้าน  โดยปกติแขกจะต้องขึ้นสู่เรือนชาจากทางสวนชา ซึ่งเป็นทางเข้าคนละทางกัน  พร้อมทั้งปรับบรรยากาศในเรือนน้ำชาเสียใหม่ โดยเอามู่ลี่ลงทั้งหมด หรี่แสงให้ห้องอยู่ในเงา 

พิธีชาไม่ใช่เรื่องเฉพาะชาเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ถ้าพูดอย่างกว้างๆคือ รวมบรรยากาศแวดล้อมทั้งหมดที่ผู้ร่วมพิธีพึงรับรู้ได้ ด้วยทุกอายตนะ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ   ผู้จัดพิธีชาที่สามารถ จึงต้องเข้าใจธรรมชาติและจัดบรรยากาศให้รองรับความรับรู้ทั้งหมดของผู้เข้าร่วมพิธี  ในสายของการศึกษาพิธีชาญี่ปุ่น พิธีชาจึงถูกจำแนกให้มีรูปแบบอย่างหลากหลายตามโอกาส  เช่น งานน้ำชารับอรุณ งานน้ำชายามเช้า งานน้ำตอนเที่ยง งานน้ำชาหลังอาหาร เป็นต้น  ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการบรรยากาศให้เหมาะสมกับโอกาสนั้นๆ  

ตามวันเวลาที่เจ้าบ้านกำหนด พิธีชาควรจัดแบบงานน้ำชาตอนเที่ยง แต่สภาพอากาศขมุกขมัววันฝนตกทำให้เที่ยงนั้นไม่เป็นดั่งเที่ยง ที่ควรแจ่มใส รูปแบบงานน้ำชาตอนเที่ยงจึงไม่เหมาะสม  เจ้าบ้านปรับบรรยากาศ เปลี่ยนใช้รูปแบบพิธีชาที่เรียกว่า  yobanashi no chaji (งานน้ำชาราตรีสังสรรค์) เพราะไหนๆฟ้าก็ครึ้มแล้ว ลดมู่ลี่ในเรือนน้ำชาลงทั้งหมด หรี่แสงในห้องให้อยู่ในเงา  เลียนแบบบรรยากาศกลางคืน ที่ทำเช่นนี้ได้ก็ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกฝนมานับสิบปี

 yobanashi no chaji แปลตามพยัญชนะว่า งานน้ำชาราตรีสังสรรค์ เป็นงานน้ำชาที่จัดกันในกลางคืนช่วงฤดูหนาว เพราะอากาศหนาวนักนอนไม่หลับ ก็ชวนกันมาคุย ทำความอบอุ่นกันด้วยงานเลี้ยงน้ำชา อาจเปิดช่องหน้าต่างชมความงามของหิมะที่พัดลอดเข้ามา คุยกันไปจนเช้า เมื่ออากาศอุ่นขึ้นจึงแยกย้ายกันเข้านอน  ส่วนชื่อ ame no chaji (งานน้ำชาในสายฝน) เป็นชื่อที่ถือวิสาสะตั้งชื่อให้พิธีชาที่คุณจอห์นปรับขึ้นนี้เอง ไม่มีในสารบบที่สำนักชาบัญญัติ อาจด้วยเวลาฝนตกไม่อาจทำนายได้ จึงมีการเตรียมงานเลี้ยงน้ำชารับฝนไว้

แอบเห็นเจ้าบ้านขนถ่านติดไฟคุแดงท่อนเล็กๆสามก้อน กับหม้อต้มน้ำร้อนหายเงียบเข้าไปในห้องน้ำชา  และแล้วก็ออกมาเชื้อเชิญให้แขกเข้าห้อง  ตอนนี้มีอุปกรณ์ที่แขกที่ได้รับเชิญมาร่วมพิธีชาต้องเตรียมมาเป็นการส่วนตัว ได้แก่ กระเป๋าผ้าไหม ภายในมีกระดาษฟางพับครึ่งสำหรับรองขนมปึกหนึ่ง  มีดขนมเล่มหนึ่ง และพัดหนึ่งด้าม  เจ้าบ้านผู้อารีได้เตรียมเอาไว้ให้ ด้วยรู้ว่าแขกมือไม่อาชีพแบบพวกเราคงจะไม่มีแน่ๆ  สำหรับแขกชาวญี่ปุ่น ๒ คนดูเหมือนจะรู้งานดี ทั้งคู่ควัก ทาบิ ส่วนตัว (ถุงเท้าผ้า ที่ตัดเย็บให้มีนิ้วหัวแม่เท้าแยกจากนิ้วอื่นๆ แบบที่เห็นในหนังซามูไร เพื่อจะได้คีบรองเท้าแตะคีบได้) ที่เตรียมเอาไว้ออกมาสวมก่อนเข้าห้อง และได้เตรียมมีดขนมมาให้คนอื่นๆยืมด้วย
อุปกรณ์จำเป็นสำหรับแขกในพิธีชา พัด และกระเป๋าใส่กระดาษ พร้อมมีดขนม
ภาพ nijiri guchi ไม่ได้ถ่ายที่บ้านคุณจอห์น แต่ดูดจาก http://tomi-k.com/shin_sekourei/chashitsu.html
ปกติแขกจะถูกจัดให้ชมสวนก่อน แขกจึงขึ้นเรือนน้ำชาจากประตูที่เปิดทางฝั่งสวน  ประตูทางขึ้นเรือนนี้ มีความสูงไม่ถึงเมตร แขกไม่ว่าจะมีชาติตระกูลยศศักดิ์อย่างไรก็ล้วนถูกบังคับให้ต้องก้มหัวลง เพื่อจะเข้าสู่เรือนน้ำชา  ประตูเตี้ยขึ้นเรือนนี้ เรียก nijiri guchi

ป้ายชื่อเรือนน้ำชา เหนือทางเข้าฝั่งเจ้าของบ้าน
เจ้าบ้านจะเข้าจากประตูอีกฟากที่เปิดเข้าจากตัวบ้าน ซึ่งหลังประตูเจ้าบ้าน คือ พื้นที่จัดเตรียม  เจ้าบ้านจะเข้าในห้องหลังแขกทุกคนเข้าห้องเรียบร้อย ซึ่งจะเป็นคราวแรกที่แขกและเจ้าบ้านได้เห็นหน้ากันในวันนั้น  ถึงตรงนี้เราสมมุติกันว่ายังไม่ได้พบหน้า คุณจอห์น เลยตั้งแต่เช้า

เตรียมเข้าสู่เรือนน้ำชา
ด้วยฝนตกที่ไม่อำนวยให้ออกไปชมสวนแล้วเข้าเรือนน้ำชาตามปกติ  เราจึงถูกจัดให้เข้าเรือนน้ำชาจากทางเข้าฝั่งเจ้าบ้านแทน  สาธิตโดยคุณโอ สาธิตการเข้าสู่ห้องชาตามขนบ ซึ่งกำหนดทุกอิริยาบถดั่งการหัดมารยาทผู้ดีก็ว่าได้  คุณโอ นั่งลงบนส้นเท้า ใช้มือเลื่อนประตูบานเลื่อน แล้วเสือกตัวคืบเข้าไปในเรือนน้ำชาในท่านั่งนั่นเอง  สำหรับคนที่ไม่ได้หัดมาคงจะทุลักทุเลพอควร ในการเคลื่อนตัวในท่าดังกล่าว

ในห้องค่อนข้างมืด ทุกอย่างเห็นเป็นเงาตะคุ่มสีเงา มีกลิ่นไม้สนจากเครื่องหอมที่ถูกเผาลอยอวลอยู่อย่างบางเบา 

ห้องชาตามแบบสำนัก urasenke สายที่คุณจอห์นศึกษามา กำหนดขนาด ห้องสี่เสื่อครึ่ง  (มีพื้นที่เท่ากับพื้นที่ปูด้วยเสื่อตาตามิได้สี่ผืนครึ่ง)  ในมณฑลนี้ คือ โลกทั้งหมดในระหว่างที่พิธีชาดำเนินไป  ขนาดห้องจำกัดจำนวนแขกที่เข้าร่วมได้ไม่เกิน ๕ คน  แต่ คุณจอห์น สร้างห้องชาใหญ่ราวขนาด ๒ ห้องชาปกติต่อกัน แต่สามารถกั้นแยกให้เป็นห้องชาขนาดสี่เสื่อครึ่งตามขนบได้

ช่องแสงเข้าภายในเรือนน้ำชา
เทียนส่องสว่าง บนเชิงเทียนสัมฤทธิ์สามขา ไฟฉายนับพันปีที่แล้ว
ผนังด้านใน ใกล้มุมหนึ่ง เจาะช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าความสูงระดับศีรษะ ให้แสงเข้าในมุมสูง  ใกล้กับช่องแสงเข้า คุณจอห์น แขวนม้วนอักษรปริศนาธรรม ลายมือของสหายชาวเกาหลี แสงมีแค่พอเห็นตัวอักษรบนม้วนภาพได้  การพินิจรายละเอียดจึงต้องอาศัยแสงจากเทียนไขที่ปักบนเชิงสัมฤทธิ์สามขามีด้ามยาว  เชิงเทียนแบบนี้มีทั้งในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รูปร่างที่เห็นไม่ได้ต่างไปจากของสะสมในพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุพันกว่าปีเลย  ตามปกติการใช้เชิงเทียนสามขานี้จะถือที่ด้ามให้เทียนไขยื่นไปข้างหน้า  แต่การส่องภาพเขียนจะจับกลับด้าน เอามือรองจับใต้ฐานที่รองรับเทียน หันให้ด้ามจับยื่นไปข้างหน้าแทน เพื่อป้องกันไม่ให้นำเทียนเข้าใกล้ภาพเขียนในระยะที่อาจไหม้ภาพเขียน  ม้วนอักษรนี้ เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นอักษรตัวจิ๋วๆตัวหนึ่ง กระเด็นอยู่นอกแนวอักษรตัว  เป็นตัวอักษรที่เติมเข้ามา เนื่องจากผู้เขียนตกไปหนึ่งตัว

 “เขาก็คือเขา น้ำก็คือน้ำ พุทธะอยู่ที่ไหน” คือข้อความบนม้วนภาพนั้น 
ชมม้วนอักษร "เขาก็คือเขา น้ำก็คือน้ำ พุทธะอยู่ที่ไหน"

No comments:

Post a Comment