บันทึกชา ห้องชาใช้ทำอะไรกัน
ในสมัยโชกุนอาชิคางะปกครองญี่ปุ่น ซึ่งเรียกกันว่า สมัยมุโรมาจิการเสพย์ชาด้วยความบันเทิงเริงรมย์ทำกันในห้องหนังสือ โดยชาถูกเตรียมจากภายนอกห้องแล้วยกเข้ามาหรือไม่ก็กั้นส่วนหนึ่งของห้องไว้สำหรับเตรียมชา เมื่อ จูโค มุราตะ ริเริ่มการดื่มชาเพื่อเข้าหาความสงบอย่างพระจึงได้ลดทอนความหรูหราฟุ่มเฟือยลง เข้าหาความเรียบง่ายและความสงบ จูโคได้ริเริ่มสร้างห้องเฉพาะสำหรับดื่มชาขึ้นต่อมาพัฒนาจนเป็นอาคารแยกเฉพาะสำหรับดื่มชาในสมัย เซน โนะ ริกคิว
ในช่วงสมัยของ จูโก ตระกูลอาชิคางะ ได้เริ่มเสื่อมความมั่นคงทางการเมืองและเริ่มต้นยุคสงครามกลางเมืองระหว่างแคว้นต่างๆกระทั่ง โนบุนางะ โอดะสามารถรวบรวมอำนาจได้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ซึ่ง โนบุนางะ โอดะ นี่เองเป็นคนที่ เซนโนะ ริกคิว รับใช้ในฐานะคนชงชา
ห้องชา หากว่าตามชื่อก็ว่าเอาไว้สำหรับดื่มชา แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ของงานศิลปะและความงามห้องชาประดับไปด้วยงานศิลปะ และอุปกรณ์ชาที่มีคุณค่าเชิงศิลปะ จึงเป็นพื้นที่ให้ผู้ร่วมในพิธีชาได้ชื่นชมกับศิลปวัตถุต่างๆ ห้องชาจึงทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ คือใช้เป็นห้องเรียนงานทางศิลปะต่างๆที่มี
ด้วยพื้นที่ห้องชาถูกถือเสมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งความสันโดษและสงบห้องชาจึงถูกใช้งานต่างๆทางการเมืองด้วยโดยเฉพาะในยุคที่มีความเข้มข้นของกิจการทางทหารและการเมืองระหว่างช่วงสมัยแห่งสงครามและการชิงอำนาจ ห้องชาถูกใช้เป็นที่นัดพบประชุมลับเพื่อก่อการทางการเมืองหรือกับทั้งเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง ห้องชาถูกปรับเพื่อรับใช้หน้าที่ดังกล่าวทางการเมืองด้วยอาคารญี่ปุ่นเป็นอาคารยกพื้นสูงขนาดมากพอที่คนจะมุดเข้าไปใต้พื้นเพื่อการสอดแนมและลอบสังหาร ห้องชาถูกออกแบบเพื่อให้หลักประกันความปลอดภัยโดยลดความสูงของพื้นที่ยกลงจนเกือบติดพื้น ซึ่งเตี้ยเกินกว่าคนจะสามารถมุดเข้าไปแอบซ่อนอยู่ภายใต้อาคารได้พื้นที่โดยรอบห้องชาเป็นพื้นที่โล่งว่างสามารถมองเห็นได้โดยรอบยากแก่การแอบซ่อน ห้องชาบางห้องยังถูกออกแบบให้มีผนังปลอมเป็นเพียงฉากที่มีนักรบซ่อนอยู่ข้างหลัง และสามารถบุกทะลวงเขาอารักขาผู้อยู่ในห้องชาได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งห้องชายังเป็นพื้นที่ปราศจากอาวุธ นักรบซึ่งพกดาบตลอดเวลาจะต้องปลดดาบแขวนไว้นอกห้องชาก่อนจะเข้าสู่ห้องชา แม้ในยุคแรกๆจะอนุญาตให้พกดาบสั้นเข้าไปในห้องชาด้วยก็ตามหากแต่การจับถือดาบในห้องชาก็ต้องจับถือด้วยท่าที่แสดงความไม่คุกคาม โดยเป็นท่าที่ไม่สามารถชักดาบใช้เป็นอาวุธได้สะดวกและในเวลาต่อมาพัดก็ถูกพกเข้ามาในห้องชา ในฐานะตัวแทนของดาบห้องชาจึงเป็นพื้นที่ปราศจากอาวุธโดยสิ้นเชิง
ในช่วงที่ชากำลังเฟื่องฟูตรงกับช่วงที่พวกเยซูอิดเข้ามาสอนศาสนาในญี่ปุ่น เพื่อให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นนักบวชเยซูอิดห่มจีวรแบบพระ และจัดให้มีห้องชาพร้อมคนชงชาในบ้านของพวกเยซูอิด ห้องชาถูกใช้เป็นที่ประกอบพิธีมิสซา ถ้ำชาและอุปกรณ์ชาถูกดัดแปลงให้เป็นภาชนะประกอบพิธีอย่างแนบเนียน
ในบริบทสังคมไทยพื้นที่ห้องชาจะว่าไปก็เป็นพื้นที่ที่มีสถานะพิเศษคล้ายพื้นที่โบสถ์ ซึ่งถูกอาศัยใช้หลบราชภัย น่าคิดอยู่ว่าโบสถ์ถูกใช้ในหน้าที่อื่นอีกหรือไม่
ในช่วงสมัยของ จูโก ตระกูลอาชิคางะ ได้เริ่มเสื่อมความมั่นคงทางการเมืองและเริ่มต้นยุคสงครามกลางเมืองระหว่างแคว้นต่างๆกระทั่ง โนบุนางะ โอดะสามารถรวบรวมอำนาจได้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ซึ่ง โนบุนางะ โอดะ นี่เองเป็นคนที่ เซนโนะ ริกคิว รับใช้ในฐานะคนชงชา
ห้องชา หากว่าตามชื่อก็ว่าเอาไว้สำหรับดื่มชา แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ของงานศิลปะและความงามห้องชาประดับไปด้วยงานศิลปะ และอุปกรณ์ชาที่มีคุณค่าเชิงศิลปะ จึงเป็นพื้นที่ให้ผู้ร่วมในพิธีชาได้ชื่นชมกับศิลปวัตถุต่างๆ ห้องชาจึงทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ คือใช้เป็นห้องเรียนงานทางศิลปะต่างๆที่มี
ด้วยพื้นที่ห้องชาถูกถือเสมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งความสันโดษและสงบห้องชาจึงถูกใช้งานต่างๆทางการเมืองด้วยโดยเฉพาะในยุคที่มีความเข้มข้นของกิจการทางทหารและการเมืองระหว่างช่วงสมัยแห่งสงครามและการชิงอำนาจ ห้องชาถูกใช้เป็นที่นัดพบประชุมลับเพื่อก่อการทางการเมืองหรือกับทั้งเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง ห้องชาถูกปรับเพื่อรับใช้หน้าที่ดังกล่าวทางการเมืองด้วยอาคารญี่ปุ่นเป็นอาคารยกพื้นสูงขนาดมากพอที่คนจะมุดเข้าไปใต้พื้นเพื่อการสอดแนมและลอบสังหาร ห้องชาถูกออกแบบเพื่อให้หลักประกันความปลอดภัยโดยลดความสูงของพื้นที่ยกลงจนเกือบติดพื้น ซึ่งเตี้ยเกินกว่าคนจะสามารถมุดเข้าไปแอบซ่อนอยู่ภายใต้อาคารได้พื้นที่โดยรอบห้องชาเป็นพื้นที่โล่งว่างสามารถมองเห็นได้โดยรอบยากแก่การแอบซ่อน ห้องชาบางห้องยังถูกออกแบบให้มีผนังปลอมเป็นเพียงฉากที่มีนักรบซ่อนอยู่ข้างหลัง และสามารถบุกทะลวงเขาอารักขาผู้อยู่ในห้องชาได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งห้องชายังเป็นพื้นที่ปราศจากอาวุธ นักรบซึ่งพกดาบตลอดเวลาจะต้องปลดดาบแขวนไว้นอกห้องชาก่อนจะเข้าสู่ห้องชา แม้ในยุคแรกๆจะอนุญาตให้พกดาบสั้นเข้าไปในห้องชาด้วยก็ตามหากแต่การจับถือดาบในห้องชาก็ต้องจับถือด้วยท่าที่แสดงความไม่คุกคาม โดยเป็นท่าที่ไม่สามารถชักดาบใช้เป็นอาวุธได้สะดวกและในเวลาต่อมาพัดก็ถูกพกเข้ามาในห้องชา ในฐานะตัวแทนของดาบห้องชาจึงเป็นพื้นที่ปราศจากอาวุธโดยสิ้นเชิง
ในช่วงที่ชากำลังเฟื่องฟูตรงกับช่วงที่พวกเยซูอิดเข้ามาสอนศาสนาในญี่ปุ่น เพื่อให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นนักบวชเยซูอิดห่มจีวรแบบพระ และจัดให้มีห้องชาพร้อมคนชงชาในบ้านของพวกเยซูอิด ห้องชาถูกใช้เป็นที่ประกอบพิธีมิสซา ถ้ำชาและอุปกรณ์ชาถูกดัดแปลงให้เป็นภาชนะประกอบพิธีอย่างแนบเนียน
ในบริบทสังคมไทยพื้นที่ห้องชาจะว่าไปก็เป็นพื้นที่ที่มีสถานะพิเศษคล้ายพื้นที่โบสถ์ ซึ่งถูกอาศัยใช้หลบราชภัย น่าคิดอยู่ว่าโบสถ์ถูกใช้ในหน้าที่อื่นอีกหรือไม่
No comments:
Post a Comment